[เดินทางตามความคิด]
2nd new things to do in life@Singapore
เมื่อการเดินทางคืออีกหนึ่งการเรียนรู้
และเมื่อความกลัวเปลี่ยนเป็นความชอบ
“ทำสิ่งที่ไม่เคยทำอย่างที่ 2 ในชีวิตวันนี้นั่งรถเมล์ไปไหนมาไหนคนเดียวในสิงคโปร์”
1.ไม่รู้เส้นทางในสิงคโปร์มาก่อน ทำให้ต้องเปิด map ดูเส้นทางและสายรถเมล์ที่จะนั่ง พร้อมกับป้ายที่ต้องลง และการกะระยะไปยืนรอลงก่อนถึงป้าย
2.จากการสอบถามเพื่อนผู้ชำนาญทุกอย่างที่สิงคโปร์ Kevin Laddapong ทำให้รู้ว่าจะขึ้นรถเมล์ได้ต้องใช้ EZ link บัตรเดียวเที่ยวได้ทั่ว ขึ้นรถเมล์ก็ได้ รถไฟก็ได้ ใช้ซื้อของบางร้านยังได้เลย
3. รถเมล์ที่นี่ไม่เหมือนที่ไทย ทุกคันเป็นรถแอร์หมด ใหม่และสะอาดน่านั่งมาก คนไม่เยอะ แถมเป็น universal design คนนั่งรถเข็นก็ใช้รถได้สะดวก เวลาขึ้นต้องขึ้นประตูหน้า แต่ลงต้องลงประตูหลัง เป็นระเบียบมากข่ะ เป็นตัวอย่างที่เราสามารถเอาไปเป็นต้นแบบพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะของเราได้ต่อไป
สุดท้ายคือชอบการนั่งรถเมล์ที่นี่มาก ถึงแม้คนที่นั่งข้างๆ จะใส่หูฟังและบีทบ๊อกไปตลอดทาง แต่ได้เดินทางราคาถูก สะดวก ได้ชมเมือง แล้วก็ได้ทำเรื่องที่ไม่รู้ ให้กลายเป็นเรื่องที่รู้ ต่อจากนี้ความกลัวในการขึ้นรถเมล์ รถโดยสารเวลาไปเที่ยวต่างประเทศก็จะหมดไป สิ่งที่ต้องทำอีกนิดหน่อยก็คือการเตรียมข้อมูลให้ดี แล้วลุย!
Mint Museum of toys
มาเที่ยวสิงคโปร์คราวนี้ ตัดสินใจมา ‘เล่น’ ที่พิพิธภัณฑ์ของเล่นย่านบูกิส (Bugis) ที่ชื่อว่า ‘Mint museum of toys’ ใครๆ ก็คงจะชอบของเล่นใช่ไหม? เราก็เหมือนกัน แม้จะไม่ได้ชอบเพราะทุกวันนี้ยังเล่นของเล่นเป็นเนืองนิจ แต่ชอบเพราะจำความรู้สึกเวลาเล่นของเล่นตอนเด็กๆ ได้ และความทรงจำนั้นก็หนักแน่นพอที่จะพาให้เรามาที่นี่ (:
ออกมาจากรถไฟฟ้าสถานี Bugis ทางออก C แล้วเดินมุ่งหน้ามาทางหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ตามถนนสาย North Bridge จนกระทั่งถึง Seah Street ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยมาประมาณสิบก้าวก็จะเห็นพิพิธภัณฑ์อยู่ท้างซ้ายมือ ต้องสังเกตให้ดีหน่อยเพราะหน้าพิพิธภัณฑ์เป็นร้านอาหาร ดูผิวเผินอาจจะเดินเลยไปได้
ตึกพิพิธภัณฑ์เป็น Townhouse 6 ชั้น 1 คูหา ตรงทางเข้าถัดจากร้านอาหารเป็นร้านขายของเล่นที่วางสินค้าเรียงรายเต็ม 2 ฝั่งกำแพง ให้ความรู้สึกว่าโลกแห่งความสนุกกำลังอ้าแขนต้อนรับเราอยู่ เดินเข้าไปซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ที่ counter จ่ายเงินในร้าน พนักงานจะบอกให้เราขึ้นลิฟท์ไปชั้น 5 แล้วค่อยๆ เดินลงมาทีละชั้น (ชั้น 6 เป็น Bar & Gallery สำหรับผู้ที่สนใจนั่งจิบเบียร์เคล้าบรรยากาศ old school childhood)
Outer Space
ลิฟท์มาถึงชั้น 5 ของพิพิธภัณฑ์ เดินเข้ามาก็พบกับโลกอวกาศบนตู้โชว์สูงเท่ากำแพงห้อง มีของเล่นโบราณที่เป็นจรวด หุ่นยนต์ ยานอวกาศ ปืนที่ดูแล้วว่าต้องเป็นของพวกทหารอวกาศหรือมนุษย์ต่างดาวทำนองนั้น เรียงอยู่บนชั้นอย่างหนาแน่น บนขอบของแต่ละชั้นวางจะบอกปีที่ของเล่นนั้นถูกผลิต ไล่มาตั้งแต่ ค.ศ.1940 จนถึง 1980 หันไปที่มุมอื่นๆ มีโปสเตอร์ fiction ที่มาของเล่นนอกโลกเหล่านี้ หลายๆ เรื่องเป็นที่รู้จักกันดี อย่าง Star Wars และ Buck Rogers ก่อนจะออกจากห้องแห่งอวกาศ เหลือบไปเห็นโต๊ะกิจกรรมน่ารักๆ ที่ชวนให้หยิบกระดาษฟรอยชิ้นเล็กๆ ในกระป๋องมาทำเป็นของเล่นแห่งโลกอนาคต เราเลยปั้นฟรอยเป็นทหารอวกาศกับยาน 1 ลำ ถึงแม้ผลงานจะออกมาดูเหมือนเอาห่อลูกอมมาขยำเล่น แต่ก็รู้สึกสนุกและอยากเก็บมาเล่นต่อที่บ้าน
Characters
เดินลงบันไดมาชั้นที่ 4 พบกับของเล่นที่เป็น “ตัวละคร” ซึ่งเรารู้จักเกือบทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น Batman Superman GreenHornet BruceLee TinTin Ultraman ฯลฯ สไตล์การจัดวางของเล่นเหมือนกับชั้น 5 ทำให้ตื่นตาตื่นใจกับกองทัพของเล่นเหมือนเช่นเคย และคาดว่าจะเป็นรูปแบบเดียวกันในทุกๆ ชั้น สิ่งที่ปลื้มที่สุดคือกิจกรรมสร้างของเล่นแห่งอนาคตประจำชั้น ในชั้นนี้วัสดุในกระป๋องแห่งจินตนาการคือหลอดพลาสติก ก็เลยได้ของเล่นหน้าตาราคาถูกแต่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์เท่าที่มีมาอีก 1 ชิ้น เป็นห่วงหลอด 2 สีคล้องกัน สมมติเอาว่าเป็นประตูมิติของทหารอวกาศฟรอยจากชั้น 5 อื้ม…ลงไปชั้นที่ 3 กันดีกว่า
Childhood Favorites
ชั้นนี้ส่วนมากเป็นตุ๊กตาหมา หมี แมว และคนในชุดชนเผ่าหลากสไตล์ กิจกรรมในชั้นนี้คือการใช้กระดาษสร้างของเล่น ไม่ว่าจะด้วยการตัด แปะหรือวาดรูป แต่ดูเหมือนว่ากระดาษที่เตรียมจะถูกใช้ไปหมดแล้ว โชคยังดีเพราะมีผลงานของเล่นกระดาษบางชิ้นที่เจ้าของไม่เอากลับไป ทำให้ได้พิจารณาฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของคนไม่รู้จักอีกหลายๆคน ได้ความสุขไปอีกแบบ
Collectables
มูฟลงมาที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ ของเล่นในชั้นนี้เป็นของเล่นสำหรับนักสะสม หมายความว่า ณ เวลานั้นๆ ที่ของเล่นเหล่านี้ถูกผลิตออกมา จะมาในรูปแบบ set หรือรุ่นต่างๆ ที่ยั่วยวนนักสะสมให้ต้องซื้อเก็บ อย่างเช่นโมเดลรถรุ่นต่างๆ ลิงไต่ราว และของเล่นจาก fiction ต่างๆ ที่มาเป็นกล่อง กิจกรรมสร้างของเล่นที่ชั้นนี้ กำหนดให้ใช้ไม้ไอติม แต่ดูเหมือนว่าชาวสิงคโปร์จะพากันเขียนภาษาจีนที่เราอ่านไม่ออกบนไม้ไอติมเหล่านั้น แล้วใส่กลับคืนไว้ในกระป๋อง ทำให้เราไม่กล้าแตะต้อง จนได้แต่วางแผนในใจว่ากลับไปจะซื้อไอติมกินสักแท่ง จะได้มีไม้ไอติมมาทำของเล่นเป็นของตัวเอง หิหิ สุดท้ายก่อนจะลงมาซื้อของที่ระลึกที่ชั้น 1 จะมีกล่องและเศษกระดาษ reuse วางไว้ บนกล่องมีข้อความเชิญชวนให้เราเขียนความทรงจำที่จะได้กลับไปหลังจากที่เดินออกจากพิพิธภัณฑ์
ตลอดเวลาที่เข้าไปในโลกของเล่นแห่งนี้ แม้ของเล่นจะมีอายุมากแล้วแต่ความสุขที่ได้ไม่แตกต่าง ถ้าหากมีโอกาสได้มาที่สิงคโปร์ ก็แนะนำได้เต็มปากเลยว่าที่นี่จะเป็นพื้นที่แห่งความสุขของคนที่มาอย่างแน่นอน เพราะมันพาให้เราได้ย้อนเวลาและสำนึกถึงคุณค่าแห่งอดีตจริงๆ