เค้าคงจะตกใจ มีแม่เข้าไปช่วย ก็เลยกัดแม่อีก คงจะเป็นเวรกรรม ดูแล้วคงจะเป็นเวรกรรมจริงๆ ก็คนอื่นไม่ได้โดนกัด คนตั้งเยอะแยะ บ้านตั้งเยอะแยะไม่เห็นกัด ผมไปนั่งเล่นดิน เล่นอะไรอยู่ ก็กระโจนมาใส่ผมคนเดียวและสะบัด ตัวผมก็นิดเดียวเหมือนกับตุ๊กตา แม่เข้ามาช่วย แม่ก็โดนกัดด้วย( เหนือ 1)”
“บังเอิญมากก็คือไปวัดหลวงพ่อพุทธถานิโย ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่รู้จักท่านเลย ไม่รู้จักว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย เป็นพระอริยบุคคลเราไม่ทราบเลย เพียงแต่ว่าเราเข้าใจว่าทำไมท่านเทศน์เรื่องศีล 5 ธรรมดาๆ ทำไมเราเข้าใจได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ซึ่งเราไม่รู้มาก่อน เมื่อก่อนเราก็เรียนนะ ศีล 5 เรียนมาตั้งแต่เป็นเด็กแต่เราไม่เข้าใจ แต่พอมาฟังหลวงพ่อพุทธถานิโยเทศน์ โอ้โห เป็นอะไรที่เหมือนว่า เหมือนเราไม่เคยรู้มาก่อน แล้วเราก็ศรัทธามาก เพิ่งมารู้ตอนหลังๆ เอง ตอนหลังจากที่หลวงพ่อท่านมรณภาพไปตั้งนานแล้ว เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน เพิ่งมารู้ทีหลังว่า โอ้ ที่แท้ท่านเป็นพระอริยบุคคล ที่เราเคยไปสัมผัสท่านตั้งหลายครั้ง เมื่อก่อนเราไปแอบซึมซับคำสอนท่านมาตั้งหลายครั้ง เพิ่งมารู้ทีหลังนี่เองว่าท่านไม่ธรรมดา (อีสาน 2)”
“มีจุดเปลี่ยนอีกช่วงเรียนต่อเนื่อง วิชาที่แกเรียนมันเป็นวิชาปรัชญาตะวันออก ถ้าเป็นตัวเองนี่ ถ้าเป็นปรัชญาตะวันออกเมื่อไหร่ หนี โดด แต่พี่เข้านั่งเรียนเขาเข้าถึงแก่น แก่นพระพุทธศาสนาตรงนั้นแหละที่เขาไปได้อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็อะไรนะ อิทัปปัจจยตา ทุกอย่างในโลกเกิดเพราะเหตุปัจจัย ที่เขาเกิดความเข้าใจชีวิตตรงนั้นเลย เขาเกิดความรู้สึกมีสมาธิ เกิดอาการปีติขนลุกซู่ แล้วเกิดน้ำตาไหลตรงนั้น พี่เขาเกิดตรงนั้นจริงๆ นะคะ แล้วเขาบอกว่าเขาทำให้จิตเค้าสงบขึ้น ความจำดีแล้วก็เกิดศรัทธาตรงนั้นขึ้นมา ทำให้เรียน(อีสาน 2)”
“คือเราเรียนแค่พอให้ผ่าน ก็เลยเป็นผลว่าทำให้จบไม่ทันเพื่อน แต่ว่าจบไม่ทันเพื่อนเนี่ยก็นึกขำตัวเองเหมือนกันเพราะว่าอยู่ที่ มน. เนี่ย มันก็ต้องบนสมเด็จพระนเรศวรใช่มั๊ยคะ ก็บนไว้ว่าจบช้ากว่าเพื่อนก็ได้นะ แต่ขอแค่รับปริญญาให้ทันเพื่อน เราก็มานั่งนึก เอ๊ะ เราบนประสาอะไรเนี่ย มีด้วยเหรอจบช้าแต่รับปริญญาทันเพื่อน เออ เราบนตลกดีเนอะ ท่านจะให้มั๊ยเนี่ย สรุปแล้วท่านให้นะคะ ก็คือจบ summer ปีนั้น”( เหนือ 2)
“แต่ที่มีความสุขสุดๆ คือตอนที่เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ ตอนที่ท่านเสด็จมาพิษณุโลก มาเป็นการส่วนพระองค์ที่โครงการชัยพัฒนา อ.บางกระทุ่ม ก็คือประมาณว่า ผมได้เข้าเฝ้า ชีวิตนี้คงไม่มีใคร ผมจะได้โอกาสอีกแล้วครับ มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้านคงไม่มีใครได้เข้าเฝ้าได้ใกล้ขนาดนั้น คือแค่มือแตะก็ถึงแล้ว คือผมยืนอยู่ตรงนี้ ท่านก็มาชมบูธสมุนไพร คือประมาณว่าท่านพูดเนี่ย เราพูดอะไรไม่ออก ประมาณยืนตะลึง แบบไม่เคยพูดอะไรไม่ได้ ก็คือยืนนิ่งเหมือนโดนสาปไปเลย ผมดีใจสุดๆ แล้ว ก็ค่อนข้างดีใจ และก็เป็นกำลังใจ อยากทำงานมากๆ เลย “(เหนือ 1)
“โดยเฉพาะดูแลด้านจิตใจนะคะ ก็เลยต้องเอาความละเอียดอ่อนจากจิตใจเราส่งกระแสจิตไปให้เค้า ดิฉันคิดอย่างนั้นนะคะว่า ถ้าเรามีจิตใจที่บริสุทธิ์นะคะ เค้าสามารถรับความสุขความปรารถนาดีจากเราได้ค่อนข้างเยอะ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แค่ส่งสายตา แค่กอดเค้า พอเวลาเค้าตัน เค้าไม่มีทางแก้ เราแค่ชี้ให้เค้าเห็น ว่าทำยังไงเดินยังไงต่อไปนะคะ”(ใต้2)
“เรารักน้อง ก็คือใจมันถึงใจนะคะเหมือนคนไข้ก็เหมือนกันนะคะอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ถ้าคุณมีเมตตาจริง ๆ ต่อให้เสือจะฆ่าคุณเสือยังไม่กัดเลย พี่น้องก็พยายามทดสอบว่าจริงหรือ ถ้าเรามีเมตตาตลอดกับคนไข้เขาจะต้องไม่หลุดค่ะเขาจะ memory เราดีตลอด โลโก้ของเราไม่มีหลุดเรื่องเสียหายเรื่องชื่อเสียงทำนองแบบนี้ คนไข้ที่ดื้อว่ายากสอนยากเวลาเราเข้าไปสัมผัสแค่จับเขาก็ได้ค่ะ”( กลาง 1)
ตัวอย่างของศรัทธาที่แสดงออกของกลุ่มตัวอย่างข้างต้นครอบคลุมศรัทธาทั้ง 3 ประเภท ในแต่ละประเภทก็มีรายละเอียดที่แตกต่าง ศรัทธาที่ปรากฏในข้อมูลทุกภาคคือ ศรัทธาที่มีต่อคำสอนในศาสนาไม่ว่าจะเป็นพุทธ หรือ อิสลาม ได้แก่ความเชื่อเรื่องการทำดีได้ดี กฎแห่งกรรม เชื่อความเมตตา ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ชาตินี้ชาติหน้า บาปบุญ การให้อภัย ความกตัญญูต่อคนไข้คิดว่าคนไข้เป็นครู “บางครั้งเรานึกขอบคุณคนไข้ HIV เพราะคนไข้ HIV นี้เองและเพราะบำราศนี้เองที่ทำให้เรามีโอกาสได้ทำบุญทุกวัน” (กลาง 1) หรือหลักธรรม อื่น (มีปรากฏใน quotation) สำหรับความเชื่อที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ได้แก่ความเชื่อที่มีต่อบุคคล ที่มีความดีงามโดยที่ปรากฏในข้อมูลคือความเชื่อในสถาบันกษัตริย์ เป็นต้น ข้อสรุปจากการวิจัยนี้แสดงว่าผู้มีจิตวิญญาณจะมีความศรัทธา ซึ่งเป็นลักษณะที่หนักแน่นกว่าความเชื่ออื่นๆ ความศรัทธาในที่นี้ เมื่อบุคคลที่มีความเชื่อได้เผชิญกับสิ่งนั้นก็มักเกิดเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำ ที่อาจแสดงออกด้วยอาการขนลุก น้ำตาไหล เป็นต้นทั้งนี้ ในทางการศึกษาด้านศาสนาและจิตวิญญาณที่ผ่านมากล่าวถึงศรัทธา 2 แบบคือ แบบแรกเป็นความเชื่อว่ามีอยู่จริง เช่น เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริงเป็นต้น ในขณะที่แบบที่ 2 เป็นความยึดมั่น trust พร้อมจะทำตาม กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นลักษณะทางจิตของบุคคล(Scarlett, W., 2005) และศรัทธาในแบบที่ 2 นี่จะอธิบายพฤติกรรมของบุคคลได้ชัดเจนกว่าศรัทธาในรูปแบบแรก